กระท่อม-Mitragyna speciosa Korth. - สมุนไพรไทย

สมุนไพรไทย

ข้อมูลสมุนไพรไทย ตำรับยาสมุนไพร วิธีการใช้สมุนไพร บทความสุขภาพ

สมุนไพรไทย

Lastest

Home Top Ad

Responsive Ads Here

Post Top Ad

Responsive Ads Here

2564-09-21

กระท่อม-Mitragyna speciosa Korth.



ชื่ออื่นๆ ท่อม อีถ่าง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Mitragyna speciosa Korth. 

วงศ์ Rubiaceae



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ปานกลาง มีแก่นเป็นไม้เนื้อแข็ง สูง๑๐ -๑๕ เมตร อยู่ในตระกูล

Mitragyna speciosa ใบคล้ายใบกระดังง มีชนิดก้านใบแดงและใบเขียว ดอกกลมโต๋ขนาดเท่า

ผลพุทรา ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว เรียงตัวเป็นคู่ตรงข้าม แผ่นใบขนาดกว้างประมาณ ๕-๑๐ ชม.

ยาวประมาณ ๘-๑๔ ชม. ดอกมีสีขาวอมเหลืองออกเป็นช่อตุ้มกลมขนาด ๓-๕ ชม.

แหล่งที่พบ ในบางจังหวัดของภาคกลาง เช่น ปทุมธานี แต่จะพบมากในปาธรรมชาติบริเวณภาคใต้

เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูลพัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตอนบนของ

ประเทศมาเลเซีย






กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า มิตราไจนา สเปชิโอชา คอร์ท (Mitragyna Speciosa

Korth) จัดอยู่ในตระกูล รูเบียชีอี (Rubiaceae) มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนชื้นแถบเอเชียตะวันออก

เฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย มาลายู จนถึงเกาะนิวกินีด้วย ที่พบในประเทศไทยมีอยู่ ๓ พันธุ์ คือ

แตงกวา (ก้านเขียว) ยักษาใหญ่ (รูปใบใหญ่) และก้านแดง มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละที่ เช่น

ในประเทศไทย ภาคเหนือเรียกอีด่าง อีแดง กระอ่วม ภาคใต้ เรียกท่อม หรือท่ม ในมลายูเรียกคูทุม

(Kutum) หรือ คีทุมเบีย (Ketum Bia) หรือ เบียก (Biak) ลาวเรียก ไนทุม (Neithum) อินโดจีน

เรียก โคดาม (Kodam)




กระท่อม คุณประโยชน์ วิธีการใช้และข้อควรระวัง


กระท่อม ในประเทศไทยมีการนำมาใช้เป็นยาแก้โรคบิด ท้องร่วง และปวดมวนท้อง และบางพื้นที่

กล่าวกันต่อมาว่าสามารถบรรเทาโรคเบาหวานได้ ชาวนานิยมบริโภคโดยการเคี้ยวใบสด หรือเอาใบ

มาย่างให้เกรียมและตำผสมกับน้ำพริกรับประทานเป็นอาหาร เพื่อให้มีแรงทำงานและสามารถทน

ตากแดดอยู่กลางแจ้งได้เป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกเหนื่อย ชาวมลายูใช้ใบกระท่อมตำพอกแผล และใช้

ทั้งใบเผาให้ร้อนวางบนท้องรักษาโรคม้ามโต ตลอดจนใช้กระท่อมเพื่อทดแทนฝิ่นในท้องที่ซึ่งหาฝิ่น

ไม่ได้ และบ่อยครั้งมีการใช้ใบกระท่อมเพื่อควบคุมการติดฝิ่น โดยเฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์ใน

ปัจจุบัน




สารสำคัญที่พบในใบกระท่อม

ใบกระท่อมประกอบด้วยแอลคะลอยด์ทั้งหมดประมาณร้อยละ ๐.๕ ในจำนวนนี้เป็นมิตราไจนีน

(Mitragynine) ร้อยละ o.๒๕ ที่เหลือเป็น สเปโอไจนีน (Speciogynine) ไพแนนที่น (Paynanthine)

สเปซิโอซีเลียทีน (Speciociliatine) ตามลำดับ ซึ่งชนิดและปริมาณแอลคะลอยด์ที่พบแตกต่างกัน

ตามสถานที่ และเวลาที่เก็บเกี่ยว ซึ่งแบ่งตามสูตรโครงสร้างได้สารประกอบ ๔ ประเภท คือ

อินโดลแอลคะลอยด์ (Indole Alkaloids)

ออกอินโดลแอลคะลอยด์ (Oxindole Alkaloids)

ฟลาวานอยด์ (Elavanoids)

. กลุ่มอื่น ๆ เช่น ไฟโตสเตอรอล (Phytosterol), แทนนิน (Tannins)


พืชกระท่อมมีสารแอลคะลอยด์ Mitragynine อยู่ในใบ มีฤทธิ์ระงับอาการปวด

เช่นเดียวกับมอร์ฟืน โดยมีความแรงต่ำกว่ามอร์ฟินประมาณ ๑ㆍ เท่า และมีข้อดีกว่ามอร์ฟืนอยู่หลาย

ประการ ดังนี้


-กระท่อมไม่กดระบบทางเดินหายใจ


-ไม่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน


-พัฒนาการในการติดยาเกิดช้ากว่ามอร์ฟื้นหลายปี


-ไม่มีปัญหาเรื่องอาการอยากได้ยา (Craving) จึงไม่มีกรณีผู้ติดกระท่อม ก่อเหตุร้ายหรือพัวพันกับ

อาชญากรรมใดเลย



-อาการขาดยาไม่ทรมานเท่ามอร์ฟิน และสามารถบำบัดได้ง่ายกว่ายากล่อมประสาท ระยะ ๒ - ๓

สัปดาห์ ขณะที่ผู้ติดมอร์ฟืนอาจต้องพึ่ง Mitragynine ซึ่งเป็นสารเสพติดเช่นเดียวกัน เป็น

เวลานาน ๓ เตือนขึ้นไป



วิธีการใช้ใบกระท่อม

เคี้ยวใบสดหรือบดใบแห้งให้เป็นผง ละลายน้ำดื่ม บางรายเติมเกลือด้วยเล็กน้อยเพื่อป้องกันท้องผูก

ส่วนมากจะเคี้ยวเพียง ๒-๓ ใบ และดื่มน้ำอุ่น หรือกาแฟร้อนตาม ใช้วันละ ๓-๑๐ ครั้งต่อวันตามอาการ

เหนื่อย เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ปริมาณการใช้จะเพิ่มขึ้น (ประมาณร้อยละ ๓๗ ใช้วันละ ๒๑-๓๐ ใบ)

ผลจากการเสพ พบว่าหลังเคี้ยวใบกระท่อมไปประมาณ ๕๑0 นาที จะมีอาการเป็นสุข

กระปรี้กระเปร่า ไม่รู้สึกหิว (ไม่อยากอาหาร) กดความรู้สึกเมื่อยล้าขณะทำงาน ทำให้สามารถทำงาน

ได้นาน และทนแดดมากขึ้น แต่จะเกิดอาการกลัวหนาวสั่นเวลาอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ผู้เสพจะมี

ผิวหนังแดงเพราะเลือดไปเลี้ยงผิวหนังมากขึ้น อาการข้างเคียง ได้แก่ ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย เบื่อ

อาหาร ท้องผูก อุจจาระแข็งเป็นก้อนเล็กๆ นอนไม่หลับ ถ้าสพใบกระท่อมในปริมาณมากๆ จะทำให้

มึนงง และคลื่นไส้อาเจียน (เมากระท่อม) แต่ในบางรายเสพเพียง ๓ ใบ ก็ทำให้เมาได้ ในรายที่เสพใบ

กระท่อมมากๆ หรือเป็นระยะเวลานาน มักจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีขึ้นที่บริเวณผิวหนัง

ทำให้ผู้ที่รับประทานมีผิวคล้ำและเข้มขึ้น และยังพบอีกว่าเสพกระท่อมโดยไมได้รูดเอาก้านใบออกจาก

ตัวใบก่อน อาจจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "ถุงท่อม" ในลำไส้ได้ เนื่องจากก้านใบและใบของ

กระท่อมไม่สามารถย่อยได้ จึงตกตะกอนติดค้างอยู่ภายในลำไส้ ทำให้ขับถ่ายออกมาไม่ได้ เกิดพังผืด

ขึ้นมาหุ้มรัดอยู่โดยรอบก้อนกากกระท่อมนั้น ทำให้เกิดเป็นก้อนถุงขึ้นมาในลำไส้ บางรายจะมีอาการ

โรคจิตหวาดระแวง เห็นภาพหลอน คิดว่าคนจะมาทำร้ายตน และพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง


อาการข้างเคียงของการใช้กระท่อม

ที่พบ คือ จะไม่มีแรง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและกระดูก แขนขากระตุก รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สามารถ

ทำงานได้ อารมณ์ซึมเศร้า จมูกแฉะ น้ำตาไหล บางรายจะมีท่าทางก้าวร้าว แต่เป็นมิตร (Hostility)

นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร ซึ่งตรงกับข้ามกับอาการขาดยาแอมเฟตามีนที่จะทำให้รู้สึกง่วงนอนมาก

หิวจัดและมือสั่น


อาการของผู้ติดใบกระท่อม

มีลักษณะคล้ายกับแอมเฟตามีน คือ เบื่ออาหาร ทำงนได้มากเกินปกติ ตื่นเต้น เพราะประสาทถูก

กระตุ้น แต่ยังไม่เคยมีรายงานผู้เสพติด ใบกระท่อมก่อปัญหาอาชญากรรมหรืออุบัติเหตุ เหมือนที่

ได้รับรายงานกรณีผู้เสพติดแอมเฟตามีน





การควบคุมทางกฎหมาย ไม่มีสนธิสัญญาที่เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศห้ามการปลูกเหมือนฝิ่น

ใช้บำบัดอาการติดฝุ่นหรือมอร์ฟืนได้







สรรพคุณทางยาของกระท่อม

สมัยโบราณ กระท่อมเป็นพืชที่ใช้ข้าเป็นตัวยาในตำรับพวกประเภทยาแก้ท้องเสีย ปวดเบ่ง ปวดเมื่อย

ตามร่างกาย ท้องเสีย ท้องเฟ้อ ท้องร่วง ทำให้นอนหลับ และระงับประสาท ในมุมมองของแพทย์แผน

ไทยส่วนใหญ่ จะนำพืชใบกระท่อมมาใช้เป็นยารักษาแก้ท้องร่วง ในสูตรยาของหมอพื้นบ้านหรือหมอ

แผนโบราณ เช่น ตำรับยาประสะกระท่อม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาขนาดนี้

แล้ว เพราะมียาแผนปัจจุบันและแผนโขราณให้ผลเท่าเทียมหรือดีกว่าอีกทั้ง แม้ใบกระท่อมให้ผลการ

ออกฤทธิ์ที่อาจมีประโยชน์ทางยาได้ แต่ทำให้เสพติดและมีผลเสียต่อสุขภาพ หากใช้ติดต่อกันนานๆ

การนำใปใช้ในทางที่ผิด อาจจะเกิดปัญหาได้




ผลวิจัยของกระท่อม-ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารของสารสกัดจากใบกระท่อม

การศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดเมทานอลจากใบกระท่อม (Mitragyna speciosa) ในการป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนูแรทโดยใช้แบบจำลองที่ชักนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ได้แก่ การทำให้เกิดความเครียดด้วยการแช่น้ำ (water immersion restraint stress), แอลกอฮอล์ และ acetylsalicylic acid และการชักนำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบจากกรดไหลย้อน (reflux esophagitis) ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดขนาด 200 และ 400 มก./กก. สามารถลดขนาดของแผลในกระเพาะอาหาร (ulcer Index) ที่เกิดจาก water immersion restraint stress ได้เช่นเดียวกับสาร mitragynine ขนาด 2 มก./กก. และยา Ranitidine ขนาด 50 มก./กก. สำหรับการเหนี่ยวนำด้วยแอลกอฮอล์ พบว่ามีเพียงยา omeprazole ขนาด 20 มก./กก. ที่มีผลลดการเกิดแผลได้ ขณะที่สารสกัดจากใบกระท่อมไม่มีผล และในการเหนี่ยวนำด้วย acetylsalicylic acid พบว่าสารสกัดที่ขนาด 400 มก./กก. และยา omeprazole มีผลลดการเกิดแผลได้ ส่วนการเหนี่ยวนำให้หลอดอาหารอักเสบจากกรดไหลย้อน พบว่าสารสกัดที่ขนาด 400 มก./กก. และยา sucralfate ขนาด 500 มก./กก. สามารถลดการเกิดแผลได้ อย่างไรก็ตามสารสกัดจากใบกระท่อมไม่มีผลต่อปริมาณกรด และค่า pH ของการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร

ข้อมูลอ้างอิง : Songklanakarin J Sci Technol 2018;40(2):258-63.



ฤทธิ์ต้านอักเสบของใบกระท่อม

การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัด mitragynine จากใบกระท่อม แบบศึกษาในหลอดทดลอง (in vitro) โดยทำการทดลองเลี้ยงเซลล์ macrophage RAW 264.7 ด้วยอาหารเลี้ยงเซลล์ที่มีสารสกัด mitragynine ผสมอยู่ 0.5-20 มคก./มล. จากนั้นเหนี่ยวนำให้เซลล์เกิดกระบวนการอักเสบด้วยการเติมสาร Lipopolysaccharide (LPS) แล้วทำการวิเคราะห์การแสดงออกของยีนและโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดกระบวนการอักเสบ ผลจากการทดลองพบว่า สารสกัด mitragynine สามารถยับยั้งการแสดงออกของโปรตีน cyclooxygenase-1 (COX-1) cyclooxygenase-2 (COX-2) และ prostaglandin E2 (PGE2) ซึ่งเป็นเอนไซม์และสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ แสดงให้เห็นว่าสารสกัด mitragynine จากใบกระท่อม มีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดกระบวนการอักเสบได้

ข้อมูลอ้างอิง :  J Ethnopharmacol. 2011; 136: 75-82.




ฤทธิ์ต้านอาการซึมเศร้าของสาร mitragynine จากใบกระท่อมในหนูเม้าส์

การศึกษาโดยทำให้หนูเม้าส์เกิดความซึมเศร้าด้วยวิธี Forced Swimming Test (FST) และ Tail Suspension Test (TST) ในหนูเม้าส์ทั้งหมด 7 กลุ่มๆ ละ 8 ตัว กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุม กลุ่มที่ 2 - 4 เป็นกลุ่มที่ได้รับสาร mitragynine จากใบกระท่อมขนาด 5, 10 และ 30 มก./กก. ฉีดเข้าทางช่องท้อง 30 นาที ก่อนเริ่มการทดลอง ตามลำดับ กลุ่มที่ 5 - 7 เป็นกลุ่มที่ได้รับยาแผนปัจจุบันที่มีฤทธิ์ต้านอาการซึมเศร้า fluoxetine 20 มก./กก., amitriptyline 10 มก./กก. ฉีดเข้าทางช่องท้อง 60 นาที ก่อนเริ่มการทดลอง และ amphetamine 1 มก./กก. ฉีดเข้าทางช่องท้อง 15 นาที ก่อนเริ่มการทดลอง ตามลำดับ พบว่าการศึกษาด้วยวิธี Forced Swimming Test (FST) สาร mitragynine ขนาด 10 และ 30 มก./กก. สามารถลดระยะเวลาที่เกิดอาการซึมเศร้าได้ 33% และ 48% ตามลำดับ ในขณะที่ยาแผนปัจจุบัน fluoxetine และ amitriptyline ลดระยะเวลาได้ 57% และ 76% ตามลำดับ และการศึกษาด้วยวิธี Tail Suspension Test (TST) สาร mitragynine ขนาด 10 และ 30 มก./กก. สามารถลดระยะเวลาที่เกิดอาการซึมเศร้าได้ 47% และ 58% ตามลำดับ ในขณะที่ยาแผนปัจจุบัน fluoxetine และ amitriptyline ลดระยะเวลาได้ 75% และ 76% ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่าสาร mitragynine ขนาด 10 และ 30 มก./กก. มีผลต่อต่อมใต้สมองทำให้ต่อมหมวกไตลดการหลั่งฮอร์โมน corticosterone จากการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่า สาร mitragynine ขนาด 10 และ 30 มก./กก. มีผลลดอาการซึมเศร้าในหนูเม้าส์ได้ และยังมีผลลดการหลั่งฮอร์โมน corticosterone จากต่อมหมวกไตได้ด้วยซึ่งหากมีการศึกษาทางคลินิกต่อไปสาร mitragynine อาจจะนำมาใช้เป็นยาในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้

ข้อมูลอ้างอิง :  Phytomedicine 2011;18:402-7.




การควบคุมกระท่อมตามกฎหมาย

ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ประกาศควบคุมการใช้พืชกระท่อม โดยตรา

พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. ๒๔๘๖ ระบุห้ามปลูกและครอบครองรวมทั้งห้ามจำหน่ายและเสพ

ใบกระท่อม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒- กระท่อมเป็นพืชเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยา

เสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ "ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า หรือส่งออกซี่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕

ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ - ๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๕๐,๐๐๐ บาท ครอบครองโดย

มิได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี หรือปรับไม่เกิน ๑๐๐,... บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"



กระท่อมจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๕ ชนิดเดียวกับกัญชา ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้

โทษ ปี ๒๕๒๒ มาตรา ๗



เมื่อวันที่ 24 ส.ค.64 ได้มีการปลดกระท่อมออกจากบุญชียาเสพติด โดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2564 ซึ่งจะมีผลวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เป็นการปลดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ ทำให้ประชาชนสามารถปลูกและขายได้ รวมทั้งมีการปล่อยผู้กระทำความผิดตามกฎหมายพืชกระท่อมในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 จำนวน 1,038 ราย โดยถือว่าไม่เคยกระทำความผิด สำหรับผู้ถูกจับกุมหรือจำเลยในชั้นต่าง ๆ จะได้ดำเนินการตามแนวทางการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปล่อยตัวผู้กระทำความผิดและผู้ต้องขังคดีความผิดเกี่ยวกับพืชกระท่อมต่อไป




โดยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเร่งสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทราบถึงข้อกฎหมายว่า ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2564 ประชาชนสามารถปลูกและบริโภคกระท่อมตามวิถีชาวบ้าน รวมทั้งยังซื้อหรือขายใบกระท่อมโดยไม่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากมีการนำไปผสมยาเสพติดอื่นๆ เช่น 4 x 100 เป็นความผิดตามกฎหมาย สำหรับการนำเข้าหรือส่งออกไปต่างประเทศในเชิงอุตสาหกรรมนั้น ต้องขออนุญาตก่อน



กล่าวโดยสรุปการใช้ใบกระท่อมแบบ ไม่ผิดกฎหมาย มีดังนี้ :


-การเคี้ยวใบ 

-การปลูก 

-การครอบครอง

-การขายใบสดที่ไม่ได้ปรุง หรือทำเป็นอาหาร 

-ต้มน้ำกระท่อมเพื่อดื่มเอง


และสิ่งที่ทำไม่ได้ ผิดกฎหมายมีดังนี้


การทำผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่แจ้งว่ามีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 หากผลิตขายเองโดยไม่ได้ขออนุญาตถือว่าผิดกฎหมาย

การขายอาหารที่ทำจากใบกระท่อม หรือมีใบกระท่อมเป็นส่วนผสมในอาหาร เนื่องจาก พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ยังไม่ปลดล็อกให้ผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย 

การต้มน้ำกระท่อมเพื่อจำหน่าย (แม้ไม่ได้ผสมกับสิ่งใดเลย) ทำไม่ได้ผิดกฏหมาย

การนำใบกระท่อมมาผสมสูตรต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นสารเสพติด  ทำไม่ได้ผิดกฏหมาย



กฎหมายที่เกี่ยวกับยาเสพติด ส่วนนิวซีแลนด์ ควบคุมพืชกระท่อม และสาร mitragynine ภายใต้

กฎหมาย Medicines Amendment Regulations จาก World drug report ๒๐๑๓ ของสำนักงาน

ควบคุมยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ให้ข้อมูลการแพร่ระบาดของ

พืชกระท่อมว่า พืชกระท่อมมีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมี

การรายงานการใช้ในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งในปี ค.ศ. ๒๐๑๑ ยุโรปเริ่มการมีขายพืชกระท่อมทาง

อินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย

คนไทยจะนิยมบริโภคใบกระท่อมกันเมื่อใดไม่อาจทราบได้แน่นอน เมื่อย้อนไปตรวจดูประวัติศาสตร์

กฎหมายถึง พ.ศ. ๑๙๐๓ ในสมัยพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาใน

กฎหมายตราสามดวง ว่าด้วยลักษณะโจร ก็ไม่ได้บัญญัติให้กระท่อมเป็นสิ่งผิดกฎหมาย คงมีแต่เฉพาะ

ฝิ่นเท่านั้นที่ห้ามการบริโภค ครอบครองหรือจำหน่าย การที่แพทย์พื้นบ้านได้ใช้กระท่อมเป็นตัวยา

สมุนไพรไทย แสดงให้เห็นว่า คนไทยได้ใช้กระท่อมกันมาเป็นเวลานานและใช้กันอย่างแพร่หลาย

นั่นเอง


การควบคุมในต่างประเทศ สหประชาชาติ(UN) จะยังมิได้มีการประกาศควบคุมพืชกระท่อมในบัญชี

รายชื่อยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธิ์ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ แต่จาก World drug report

๒๐๑๓ ของสำนักงานควบคุมยาสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ได้มีการ

ขอความร่วมมือให้ประเทศสมาชิกเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ของสารออกฤทธิ์ตัวใหม่ๆ ซึ่งมี

พืชกระท่อมรวมอยู่ด้วย ซึ่งจากการสืบคันข้อมูลพบว่าประเทศในยุโรป เช่น เดนมาร์ก ลัตเวีย ลิทัวเนีย

โปแลนด์ โรมาเนีย สวีเดน มีการควบคุมพืชกระท่อม สาร mitragynine และ

o-hydroxymitragynine สำหรับออสเตรเลีย พม่า รวมถึงไทย มีการควบคุมพืชกระท่อมภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวกับยาเสพติด ส่วนนิวซีแลนด์ ควบคุมพืชกระท่อม และสาร mitragynine ภายใต้

กฎหมาย Medicines Amendment Regulations จาก World drug report ๒๐๑๓ ของสำนักงาน

ควบคุมยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ให้ข้อมูลการแพร่ระบาดของ

พืชกระท่อมว่า พืชกระท่อมมีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมี

การรายงานการใช้ในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งในปี ค.ศ. ๒๐๑๑ ยุโรปเริ่มการมีขายพืชกระท่อมทาง

อินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย


ที่มาของข้อมูล

-กระท่อม ยาระงับปวดหรือยาเสพติดเรียบเรียงโดย ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ ภาควิชาเภสัชเวท

และเภสัชพฤษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์


-ข้อมูลสมุนไพร : สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad

Responsive Ads Here